Translate

Tuesday, March 11, 2014

รสนิยม

ร้อง และ ฟัง

  เรามักจะได้ยินเสียงคนเมืองกรุงมักจะพูดเสมอถึงความล้าสมัย และความน่าเบื่อ ของเพลงลูกทุ่งที่เป็นที่นิยมมากของชาวต่างจังหวัด ทำให้ผมนึกสนุกอยากลองหามาฟังบ้างเพื่อเปิดโลกคับแคบของตัวเอง พอฟังได้ไปซัก 2-3เพลงก็รู้สึกได้ว่า คนกรุงอย่างเราๆช่างไม่มีความสุนทรีย์เอาซะเลย



  เพลงลูกทุ่งช่างเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย และ เต็มไปด้วยภาษาที่สวยงาม มากเสียกว่าเพลงสตริงค์ที่ผมเคยชอบฟังเสียอีก อีกสิ่งที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน นักร้องมักจะมีเสียง และความสามารถในการร้องเพลงนำหน้าตามาเสมอๆ แต่ก็พอมีให้เห็นบ้างที่ขายอย่างอื่นมากกว่าเสียง แต่โดยมากนักร้องลูกทุ่งมักจะมีเสียงที่เป็นเสน่ห์ และเอกลักษณ์เอามากๆ ที่สำคัญลองสังเกตุครับว่า คนเมืองกรุงมักฟังเพลงเมื่อต้องการฆ่าเวลา หรือระหว่างทำกิจกรรมบางอย่าง บางครั้งยังหมายถึงการสร้างพื้นที่ส่วนตัวเพื่อไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่งด้วย แต่คนฟังลูกทุ่งนั้นต่างออกไป มักจะเปิดฟังเมื่อว่าง หรือพักผ่อนจากการงาน ว่าไปแล้วบางทีคนต่างจังหวัดอาจจะเป็น
กลุ่มคนที่มีรสนิยมในการฟังเพลงที่สูงกว่าพวกเราๆก็เป็นได้ เลือกฟังจากเสียงร้องที่สุขุม ทำนองที่เนิบๆเพื่อได้ลิ้มรส ตัวโน๊ต เครื่องดนตรีทีละชิ้น และสัมผัสอารมณ์เพลงที่ละประโยค 
แทนที่จะฟังเพลงที่มีเนื้อหางงๆ ประกอบกับดนตรีสังเคราะห์ และท่าเต้นอันทันสมัย แต่ไม่ทันได้สำผัสสิ่งใด เพลงก็จบลงไปซะแล้ว

  สำหรับผมสุนทรียศาสตร์ เป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคล บทความไม่ได้ต้องการกล่าวว่าใครแค่ชวนคิดเล่นๆพอขำๆ สนุกๆนะครับ

** การนำบทความ และ ภาพบนเวปไปใช้กรุณาให้เครดิตผมด้วยนะครับ 

เฟี้ยว
11 มีนาคม 2557

Saturday, February 8, 2014

ไม้บรรทัด

"เราทุกคนมีไม้บรรทัดคนละอันและพร้อมที่จะควักมันออกมาวัดคนอื่นเสมอ"

   วันก่อนผมได้มีโอกาสไปทานข้าวพี่ที่มีพระคุณท่านนึง ไปกับคนรู้จักสองสามคน ระหว่างการกินข้าวต้มก็มีการพูดคุยกันเรื่องงานมากมาย แฟนผมร้อนใจเรื่องงานมาก รู้สึกว่าไม่ใช่ ทำไม่ได้ ต่างๆนาๆ พี่ก็พูดขึ้นมาว่า

"เรื่องทั้งหมดอยู่ที่แก่จะวัด ถ้าเอาไม้บรรทัดแกวางการทำงานของพี่ก็จะดูต่ำกว่า แต่ถ้าเอาไม้บรรทัดพี่วางแกก็จะดูเกินไป"
 ผมได้ยินเข้าก็รู้สึกสะกิดขึ้นมานิดนึง คนเรามักจะตัดสินคนรอบข้างเสมอครับว่า ผิดหรือถูก โดยหลักเกณฑ์อยู่ที่ไม้บรรทัดของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องความคิด หรือแม้แต่เรื่องส่วนตัวของคน คนนั้น ยามเราเป็นเด็กเราจะโดนไม้บรรทัดของพ่อและแม่ คอยบอกว่าเราอยู่เหนือ หรือต่ำกว่า ไม่บรรทัด เมื่อโตขึ้นเริ่มมีเพื่อนฝูง และสังคมของตัวเอง ก็จะเอาไม้บรรทัดของตัวเอง และคนอื่นๆ มาวัด 


ทำไมผมเลือกรูปนี้ประกอบ กฏหมายเป็นไม้บรรทัดแบบนึงที่วัดได้ค่อนข้างแม่นยำ และเป็นที่ยอมรับของคนโดยทั่วไป แต่ถ้ายึดมั่นจากค่าที่มันวัดได้ โดยไม่สนใจค่าอื่นๆเลย เช่น มนุษยธรรม จริยธรรม ฯลฯ อาจจะกลายเป็นไม้บรรทัดที่บิดเบี้ยวก็ได้


ลองคิดเล่นๆ หากวันนึงเราเลิกใช้ไม้บรรทัดวัดคนอื่น เราจะมีความสุขแค่ไหน เพราะเราจะไม่สนอีกต่อไปว่าคนคนนั้น อยู่สูงหรือต่ำกว่าไม้บรรทัดของเรา มันคงเป็นความรู้สึกแบบโล่งๆ โปร่งๆ ที่บอกไม่ถูก ทุกวันนี้ผมเชื่อว่า เพราะไม้บรรทัดเหล่านี้ถูกนำไปใช้กับคนอื่นมากไปทำให้เราหาความสุขได้ยาก เพราะหาคนที่พอดีไม่ได้ซักที ต่ำไป สูงไป

ผมเชื่อว่าไม่มีใครสามารถทิ้งไม้บรรทัดได้ เพราะหากใช้ในทางที่ดี มันก็มีประโยชน์ไม่ใช่น้อย ทั้งวัดตัวเอง และคนที่จะเข้ามาสนิทชิดเชื้อด้วย แต่อย่าหลงคิดว่าค่าที่วัดได้คือสิ่งที่ถูก ของบางอย่างเราไม่สามารถวัดได้ จงใช้อย่างระมัดระวัง หมั่นวัด และปรับระดับไม้บรรทัดให้เที่ยงธรรมเสมอ



เฟี้ยว
9 กุมภาพันธ์ 2557

Saturday, January 18, 2014

Echo of life

Echo of lif

บทความนี้ตั้งใจบอกถึง ที่มาและความตั้งใจในการเขียน Blog นี้ขึ้น


เป็นความตั้งใจของปีนี้ที่ผมจะเริ่ม อ่านหนังสือให้ได้ 2เดือนเล่ม และเขียน blog เดือนละ1บทความ
เสียงสะท้อนของชีวิต ถ้าเราแปลแบบตรงตัว แต่ผมอยากคิดว่า ชีวิตคือเสียงสะท้อนมากกว่าครับ ไม่ว่าชีวิตจะมุ่งหน้าไปทางใดล้วนมาจากเสียงสะท้อนทั้งนั้น เสียงสะท้อนจากการกระทำ เสียงสะท้อนจากคนรอบข้าง ฯลฯ
บทเพลงนึงที่พาผมให้คิดแบบนี้ และเหมือนเป็นการย้ำว่ามีคนคิดแบบผมอยู่เหมือนกันคือ man in the mirror ของ Michael Jackson ผมเชื่อเช่นเดียวกับเพลง เพลงนี้ว่าหากเราอยากเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างควรเริ่มที่ คนทีอยู่ในกระจกหน้าเรา  เสียงสะท้อนมากมายในชีวิตเป็นสิ่งน่าหลงไหลเช่น เสียงสะท้อนที่สรรเสริญ เสียงสะท้อนที่บอกรักฯลฯ แต่ยังมีเสียงสะท้อนมากมายที่ไม่น่าพิศมัย

  ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของการเริ่มเขียนBlog นี้ขึ้นเพื่อเป็นเสียงสะท้อนให้กำลังใจแก่คนที่ต้องการหากำลังใจ เพื่อเป็นเสียงสะท้อนให้แรงบันดาลใจแก่คนที่กำลังค้นหาแรงบันดาลใจ

เฟี้ยว
18. มค. 2557